การเลือกประกันชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเองนั้น ควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจประกันชีวิตในรูปแบบต่างๆ ก่อน เพราะแต่ละแบบก็มีจุดประสงค์ความคุ้มครอง ผลตอบแทน และค่าเบี้ยประกันที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปแล้ว ประกันชีวิตจะแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลักๆ ดังนี้ครับ
1. ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term Life Insurance)
เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองชีวิตในระยะเวลาที่จำกัด เช่น 5 ปี, 10 ปี หรือ 20 ปี หากผู้เอาประกันเสียชีวิตในระหว่างสัญญา บริษัทประกันจะจ่ายเงินทุนประกันให้กับผู้รับผลประโยชน์ แต่ถ้าครบกำหนดสัญญาแล้วผู้เอาประกันยังมีชีวิตอยู่ สัญญาจะสิ้นสุดลงและจะไม่มีการคืนเบี้ยประกันที่จ่ายไป
ข้อดี:
- เบี้ยประกันต่ำ: จ่ายเบี้ยน้อยแต่ได้รับความคุ้มครองชีวิตที่สูง
- เหมาะสำหรับสร้างหลักประกันระยะสั้น: เช่น คุ้มครองภาระหนี้สินของครอบครัว อย่างหนี้บ้าน หรือหนี้รถยนต์ ในช่วงเวลาที่ต้องผ่อนชำระ
- เหมาะกับผู้ที่มีงบจำกัด: แต่ต้องการความคุ้มครองสูงเพื่อคนข้างหลัง
2. ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance)
เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองระยะยาวไปตลอดชีวิต (ส่วนใหญ่มักจะถึงอายุ 90 หรือ 99 ปี) โดยจ่ายเบี้ยประกันเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น 10 ปี, 15 ปี หรือ 20 ปี เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหน บริษัทก็จะจ่ายเงินทุนประกันให้แก่ผู้รับผลประโยชน์
ข้อดี:
- สร้างมรดก: เป็นการการันตีได้ว่าจะมีเงินก้อนส่งต่อให้กับทายาทหรือคนที่คุณรัก
- คุ้มครองยาวนาน: ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ ทำให้หมดกังวลเรื่องความไม่แน่นอน
- มีมูลค่าเงินสด: กรมธรรม์จะมี “มูลค่าเวนคืนกรมธรรม์” เกิดขึ้น ซึ่งสามารถใช้กู้ยืมเงินจากกรมธรรม์ของตัวเองมาใช้ยามฉุกเฉินได้
3. ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance)
เป็นประกันที่ผสมผสานระหว่างความคุ้มครองชีวิตและการออมเงิน โดยจะให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตในระหว่างสัญญา และมีเงินคืนให้เมื่อสัญญาครบกำหนด หรือบางแบบอาจมีเงินคืนให้ระหว่างทางด้วย
ข้อดี:
- มีวินัยในการออม: เป็นการบังคับออมเงินอย่างสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บเงินก้อนเพื่อเป้าหมายในอนาคต เช่น ทุนการศึกษาบุตร หรือเงินทุนทำธุรกิจ
- การันตีผลตอบแทน: ทราบผลตอบแทนที่แน่นอนตั้งแต่วันแรกที่ทำประกัน (กรณีอยู่ครบสัญญา)
- ลดหย่อนภาษีได้: เบี้ยประกันสามารถนำไปใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด
4. ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Annuity Insurance)
เป็นประกันที่เน้นการออมเงินเพื่อไว้ใช้ในวัยเกษียณ โดยผู้เอาประกันจะต้องจ่ายเบี้ยประกันอย่างสม่ำเสมอจนถึงอายุที่กำหนด (เช่น 55 หรือ 60 ปี) หลังจากนั้นบริษัทประกันจะเริ่มจ่ายเงินคืนให้เป็นรายปีหรือรายเดือนไปเรื่อยๆ จนครบตามเงื่อนไขในสัญญา
ข้อดี:
- สร้างรายได้หลังเกษียณ: ทำให้มีเงินใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอเหมือนยังมีเงินเดือนอยู่ แม้จะไม่ได้ทำงานแล้วก็ตาม
- ลดหย่อนภาษีได้สูง: สามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้ในหมวดประกันบำนาญ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับประกันชีวิตทั่วไป
- วางแผนเกษียณได้อย่างสบายใจ: ช่วยให้มั่นใจว่าจะมีเงินใช้ในบั้นปลายชีวิตอย่างแน่นอน
5. ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-Linked Insurance)
เป็นประกันที่ให้ทั้งความคุ้มครองชีวิตและโอกาสในการลงทุนไปพร้อมกัน โดยเบี้ยประกันส่วนหนึ่งจะถูกนำไปซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมตามที่ผู้เอาประกันเลือก ซึ่งมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่าประกันแบบทั่วไป แต่ก็มีความเสี่ยงจากการลงทุนเช่นกัน
ข้อดี:
- ความยืดหยุ่นสูง: สามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครอง เพิ่มหรือลดเงินลงทุน หรือถอนเงินลงทุนบางส่วนออกมาใช้ได้
- โอกาสรับผลตอบแทนสูง: มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นตามสภาวะตลาด จากการลงทุนในกองทุนรวม
- โปร่งใส: สามารถตรวจสอบมูลค่าหน่วยลงทุนและผลการดำเนินงานของกองทุนได้ตลอดเวลา
ตารางเปรียบเทียบประกันชีวิตแต่ละแบบ
ประเภทของประกัน | ความคุ้มครองหลัก | เบี้ยประกัน | ผลตอบแทน | เหมาะสำหรับ |
แบบชั่วระยะเวลา | คุ้มครองกรณีเสียชีวิตในระยะเวลาที่กำหนด | ต่ำที่สุด | ไม่มีเงินคืนเมื่อครบสัญญา (เบี้ยจ่ายทิ้ง) | ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูงด้วยงบจำกัด, คุ้มครองภาระหนี้สินระยะสั้น |
แบบตลอดชีพ | คุ้มครองการเสียชีวิตระยะยาว (ถึงอายุ 99 ปี) | สูงกว่าแบบชั่วระยะเวลา แต่คงที่ | มีมูลค่าเงินสดในกรมธรรม์, สร้างหลักประกันเป็นมรดก | หัวหน้าครอบครัวที่ต้องการสร้างมรดกและความคุ้มครองที่มั่นคง |
แบบสะสมทรัพย์ | คุ้มครองชีวิตควบคู่กับการออมเงิน | ค่อนข้างสูง | มีเงินคืนระหว่างสัญญาและเงินก้อนเมื่อครบกำหนด | ผู้ที่ต้องการออมเงินเพื่อเป้าหมายระยะกลาง-ยาว และใช้สิทธิลดหย่อนภาษี |
แบบบำนาญ | เน้นการสร้างรายได้ที่แน่นอนหลังเกษียณ | สูง (เป็นการออมเพื่ออนาคต) | จ่ายเงินคืนเป็นรายงวดหลังเกษียณอายุ | ผู้ที่ต้องการวางแผนเกษียณอย่างเป็นระบบและมีเงินใช้จ่ายสม่ำเสมอ |
แบบควบการลงทุน (Unit-Linked) | คุ้มครองชีวิตพร้อมโอกาสสร้างผลตอบแทนผ่านกองทุนรวม | ยืดหยุ่นตามการจัดสรร | ไม่การันตี ขึ้นอยู่กับผลการลงทุน (มีความเสี่ยง) | ผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ และต้องการความยืดหยุ่นสูง |
ข้อแนะนำเพิ่มเติม: การเลือกประกันชีวิตที่ดีที่สุด คือการเลือกแบบที่ตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินและความต้องการของตัวคุณเองในแต่ละช่วงของชีวิต การพิจารณาภาระค่าใช้จ่าย ความสามารถในการชำระเบี้ย และเป้าหมายในอนาคต จะช่วยให้คุณเลือกแบบประกันที่ “ใช่” ที่สุดสำหรับคุณครับ หากไม่แน่ใจ แนะนำให้ปรึกษาตัวแทนหรือที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมได้ครับ